การย้อมสีธรรมชาติ
เป็นสีย้อมที่ถูกคิดค้นด้วยภูมิปัญญาชาวบ้าน โดยการนำส่วนต่างๆของพืช เช่น
เปลือกไม้ ใบไม้ ลูกไม้ และรากไม้ นำ มาสกัดเป็นสีย้อม
และผ่านกรรมวิธีในการย้อมที่แตกต่างกันออกไป
ซึ่งจะให้สีได้หลายเฉดสีขึ้นกับชนิดของพืชที่ใช้
ในปัจจุบันการย้อมไหมด้วยสีธรรมชาติเป็นที่นิยมลดลง เนื่องจากนานไปจะมีสีตก และซีด
ซึ่งถ้าหากไม่สมารถควบคุมความเข้มข้นของการย้อมสีแต่ละครั้งได้ มักจะทำให้สีที่ย้อมในแต่ละครั้งไม่เหมือนเดิม เป็นเหตุทำให้ผ้าด่างได้ กลุ่มผู้ผลิตไหมจึงหันมาใช้สีเคมีที่ให้เฉดสีสดใส
และคงทนต่อการตกสีดีกว่า
แต่ก็มีการย้อมในบางท้องที่หรือบางหน่วยงานเพื่อรักษาภูมิปัญญาหรือย้อม
เมื่อมีความต้องการเฉดสีแบบธรรมชาติตามความต้องการของลูกค้า
พืช
|
ส่วนที่ใช้
|
สีที่ย้อมได้
|
กระโดน
|
เปลือก
|
สีน้ำตาล
|
กระท้อน
|
เปลือก
|
สีน้ำตาล
|
กระถิน
|
เปลือก
|
สีน้ำตาล
|
แก้ว
(ดอกแก้ว)
|
ใบ
|
สีเขียวตองอ่อน
|
ข้าว
|
ใบ
|
สีเขียวตองเหลือง
|
ขี้เหล็ก
|
ดอก
|
สีน้ำตาลเข้ม
|
เข,
แกแล
|
เปลือก, แก่น
|
สีเหลืองทอง
|
ขนุน
|
เปลือก, แก่น
|
สีเหลือง
สีกากี
|
ขมิ้น
|
หัวขมิ้น
|
สีเหลืองสด
|
คำแสด
|
เมล็ด
|
สีส้ม
|
คูน
|
เปลือก
|
สีน้ำตาลเหลืองทอง
|
คูน
|
เปลือก
|
สีน้ำตาลเข้ม
|
ครั่ง
|
รังครั่ง
|
สีแดงหรือแดงอมม่วง
|
คราม
|
ตัดเอาทั้งกิ่ง
และใบ
|
สีฟ้าหรือน้ำเงิน
|
โคลนดำ
|
เนื้อโคลน
|
สีเทาดำ
|
จามจุรี
|
เปลือก
|
สีน้ำตาลอ่อน
|
ชงโค
|
เปลือก
|
สีน้ำตาลอ่อน
|
ชมพู่
|
ใบ
|
สีน้ำตาล
|
ชุมเห็ด
|
ใบ
|
สีน้ำตาลเขียว
|
ดาวกระจาย
|
กลีบดอก
|
สีเหลืองส้ม
|
ดาวเรือง
|
กลีบดอก
|
สีเหลืองทอง
|
ดินแดง
|
เนื้อดิน
|
สีอิฐมอญ
|
ดอกทองกราว
|
ดอก
|
สีเหลือง
|
ตะขบไทย
(หมากเบ็ญ)
|
ใบ
|
สีเขียวขี้ม้า
|
ตะขบฝรั่ง
|
เปลือก
|
สีน้ำตาล
|
ตะแบก
|
เปลือก
|
สีน้ำตาลเหลือง
|
ใบเตยหรือพืชใบสีเขียว
|
ใบ
|
สีเขียว
|
ยอป่า
|
ราก
|
สีแดง
|
สะเดา
|
เปลือก
|
สีแดง
|
สมอป่า
|
ใบ
เปลือก
|
สีเขียว
กากีแกมเขียว
สีแดง
|
หว้า
|
ผล
|
สีม่วงอ่อน
|
หมาก
|
ผล
|
สีน้ำตาล
|
อ้อยช้าง
|
ลำต้น
|
สีน้ำตาล
|
สารช่วยติดนิยมเติมลงในน้ำย้อมขณะย้อม
อาทิ สารส้มจะให้โทนอ่อน จุนสีจะให้โทนสีเข้มขึ้น อื่นๆ เช่น เกลือหรือโซดาแอซ
ข้อควรระวังในการย้อมสีธรรมชาติ
1. วัตถุดิบที่ใช้
ได้แก่ เปลือกไม้หรือใบไม้ต้องหั่นหรือสับให้เป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อให้เกิดการต้มเปื่อย
และสกัดสีย้อมออกมาได้เร็วที่สุด
2. อัตราส่วนของพืชที่ใช้ย้อม
หากเป็นพืชที่แห้งควรมีอัตราส่วนมากกว่า 2 เท่าของน้ำหนักเส้นไหม หากเป็นพืชที่สดควรมีอัตราส่วน
4 เท่าของเส้นไหม ทั้งนี้
เพื่อให้เกิดความแน่ใจควรเตรียมน้ำสีย้อมไว้อีกต่างหาก
หากการย้อมพบว่าสัดส่วนสียังน้อยเกินไปควรเติมน้ำสีย้อมที่เตรียมไว้ลงเพิ่มอีกจนมากเกินพอ
เพราะจะช่วยป้องกันการย้อมด่างหรือสีตกเวลาซักได้เป็นอย่างดี
3. ควรแช่พืชย้อมทิ้งไว้อย่างน้อย
1 คืน ก่อนจะนำไปต้มเอาน้ำสีเพราะจะช่วยสกัดสีย้อมออกมาได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ไม่สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในการต้มมาก
4. เส้นไหมที่นำมาย้อมต้องลอกกาว
และทำความสะอาดให้ดีเสียก่อน ซึ่งจะช่วยให้ติดสีบนเส้นใยได้ดี และสม่ำเสมอ
5. ควรใช้น้ำสะอาดไม่กระด้าง
เช่น น้ำฝนหรือน้ำบาดาล เพื่อให้ง่ายต่อการควบคุมความเป็นกรด-ด่างที่เหมาะสมได้ง่าย
6. อัตราส่วนของน้ำสีย้อมต่อเส้นใยไหมควรอยู่ในช่วง
1:20-30 เช่น เส้นไหม น้ำหนัก 1
กิโลกรัม ต้องมีประมาณน้ำสีอย่างน้อย 20-30 ลิตร ทั้งนี้
การย้อมจะทำการย้อมไหมตามระยะเวลาที่กำหนด เมื่อเสร็จ 1 กิโลกรัม
ก็สามารถย้อมต่อโดยไม่ต้องถ่ายน้ำทิ้ง
แต่ควรเติมน้ำสีย้อมหรือผงสีย้อมเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มความเข้มข้น
7. ควรใช้สารช่วยติดชนิดต่างๆ
อาทิ สารส้ม โซดาแอซ โซดาไฟ น้ำส้ม เป็นต้น เพื่อช่วยในการย้อมติดสีที่ดีขึ้น
8.
อุปการณ์ที่ใช้ย้อมต้องมีขนาดเหมาะสมกับเส้นไหม ไม่ควรเล็กหรือใหญ่เกินไป
9. ภาชนะย้อมควรเป็นสแตนเลส เพราะจะช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาของสีธรรมชาติกับโลหะที่มีคุณสมบัติเป็นตัวช่วยติดสี
(Mordant) หรือให้สี เช่น ถ้าใช้ภาชนะย้อมที่เป็นเหล็กหรือมีสนิม เส้นไหมที่ได้จะมีระดับสีเข้มเหมือนใช้สนิมเหล็กเป็นตัวติดสี
หรืออาจมีผลทำให้เส้นไหมที่ย้อมนั้นมีรอยด่างจากสีของสนิม
10.
ในการย้อมควรค่อยๆ เพิ่มระดับขึ้นช้าๆ ไม่ให้เร็วเกินไป เพราะหากย้อมที่อุณหภูมิสูงเลย
อาจทำให้ย้อมด่างได้ และไม่ควรย้อมที่อุณหภูมิที่น้ำเดือด
11. ขณะย้อมต้องค่อยพลิกกลับเส้นไหมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการย้อมด่าง
12. เมื่อย้อมเส้นไหมเสร็จแล้ว ควรตั้งน้ำสี และเส้นไหมไว้ให้เย็นเสียก่อนแล้วจึงนำเส้นไหมไปล้างน้ำ ไม่เช่นนั้นจะทำให้สีหลุดออกจากเส้นไหมได้ง่าย
12. เมื่อย้อมเส้นไหมเสร็จแล้ว ควรตั้งน้ำสี และเส้นไหมไว้ให้เย็นเสียก่อนแล้วจึงนำเส้นไหมไปล้างน้ำ ไม่เช่นนั้นจะทำให้สีหลุดออกจากเส้นไหมได้ง่าย
13. ผู้ย้อม ควรทำการจดบันทึกรายละเอียดของการย้อมสีทุกครั้ง
เพื่อเป็นข้อมูลการย้อมในครั้งต่อไป