ประเภทของผ้าไหมไทย สามารถแบ่งได้ตามคุณสมบัติต่างๆ ซึ่งถ้า แบ่งตามวิธีการทอสามารถแบ่งได้ ดังนี้
1. ผ้าไหมทอมือลายขัด เป็นผ้าไหมที่ทอด้วยวิธีการธรรมดาด้วยวิธีการสานขัดกันโดยใช้เส้นยืน
และเส้นพุ่ง อาจเป็นสีเดียวกันหรือใช้สีต่างกัน ขัดสานกัน
โดยเนื้อผ้าที่ได้จะเป็นเนื้อเรียบตลอดทั้งผืน เป็นผ้าที่นิยมใช้กันทั่วไปเพื่อนำมาตัดเป็นเสื้อผ้าหรือประดิษฐ์ใช้ประโยชน์อื่นๆ
อาทิ หมอน บุเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น นอกจากนั้นยังเป็นผ้าไหมไทยที่ส่งออกต่างประเทศ
2. ผ้าไหมมัดหมี่ เป็นศิลปะการทอผ้าพื้นเมืองชนิดหนึ่งนิยมทำมานานแล้ว ในภาคอีสาน และบางท้องที่ในเขตภาคกลาง เช่น จังหวัดสุพรรณบุรี อุทัยธานี กาญจนบุรี ลพบุรี และชัยนาท
วิธีการทำผ้ามัดหมี่ คือการมัดด้ายให้เป็นลายที่เส้นพุ่งหรือเส้นยืนด้วยเชือกแล้วนำไปย้อมสี โดยบริเวณที่ถูกมัดจะไม่ถูกการย้อมติดสีแล้วจึงนำมาทอเป็นผ้าเพื่อให้เกิดลวดลายตามต้องการ
ทั้งนี้อาจต้องย้อมมัดหมี่หลายครั้งเพื่อให้เกิดลวดลายที่มีสีสัน และสวยงามมากขึ้น บางแห่งมีการทอผ้ามัดหมี่สลับกันกับลายขิด เพื่อเพิ่มความงดงามให้แก่ผ้าไหมมากยิ่งขึ้น ส่วนผ้ามัดหมี่จากสุรินทร์มีชื่อเสียงทั้งในด้านความสวยงามของเส้นไหม
และลวดลายซึ่งได้รับอิทธิพลจากเขมร ในปัจจุบันมีการทอผ้ามัดหมี่กับหลายรูปแบบ มีการดัดแปลงลายพื้นบ้านผสมกับลายโบราณที่ถ่ายทอดสืบต่อมาเรื่อย ๆ อีกทั้งปัจจุบันผ้าไหมมัดหมี่ได้มีการนำมาออกแบบเสื้อผ้าสตรี บุรุษได้อย่างสวยงามและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่โดดเด่นมาก
3. ผ้าไหมขิด เป็นการทอผ้าไหมชนิดหนึ่งด้วยการยกลายด้วยไม้ที่เรียกว่า ไม้เก็บขิด ใช้เป็นตัวยกเส้นยืนในแต่ละแถวขึ้นให้เส้นพุ่งพิเศษสอดผ่านจากริมผ้าด้านหนึ่งไปสู่ริมผ้าอีกด้านหนึ่ง ที่เรียกว่า การเก็บขิด
เกิดเป็นลวดลายขิดตลอดหน้ากว้างของผืนผ้า ลักษณะของผ้าลายขิดสังเกตดูได้จาก ลายซ้ำของเส้นพุ่งที่ขึ้นเป็นแนวสีเดียวกันตลอด
อาจจะเหมือนกันทั้งผืนหรือไม่ก็ได้ แต่ต้องมีลายซ้ำที่มีจุดจบ
ผ้าขิดที่นิยมทอโดยทั่วไปมีอยู่ 3 ชนิด ตามลักษณะประโยชน์การใช้สอยได้แก่
1.
ผ้าขิดตีนซิ่น เป็นผ้าที่ทอขึ้นเพื่อใช้ต่อชายล่างของตัวซิ่น
2.
ผ้าขิดหัวซิ่น เป็นผ้าที่ทอขึ้นเพื่อใช้ต่อชายบนของตัวซิ่น
3.
ผ้าขิดหมอน เป็นผ้าที่ทอขึ้นโดยเฉพาะ
4. ผ้าจก เป็นผ้าที่มีการทอลักษณะคล้ายผ้าขิด
ต่างกันที่ผ้าจกสามารถสร้างลวดลายได้หลายสีในแถวเดียวกัน ด้วยการควักเส้นไหมขึ้นมาจากข้างล่างสอดสลับเป็นลวดลายตามต้องการ โดยใช้ขนเม่น แต่ลายขิดแต่ละหน่วยไม่อาจทำหลายสีสลับกันได้เพราะใช้เส้นพุ่งเส้นเดียวตลอดในแต่ละครั้ง ผ้าจกส่วนมากนิยมทำเป็นผ้าสไบ (ผ้าเบี่ยง) ที่รู้จักกันดีได้แก่ ผ้าไหมแพรวาของจังหวัดกาฬสินธุ์ นอกจากนั้นยังนิยมทำเป็นตีนซิ่นอีกด้วย
5. ผ้ายก เป็นการทอผ้าไหมที่ทอยกลายให้สูงจากพื้นผ้า
โดยใช้เส้นพุ่งพิเศษ เป็นดิ้นเงิน ดิ้นทองหรือไหมสีต่างๆเพื่อให้เกิดลวดลายตามแนวที่ต้องการ
โดยวิธีการเก็บตะกอเช่นเดียวกับการทอขิด
ผ้ายกถือเป็นผ้าที่หาซื้อยาก
ราคาแพง นิยมใส่ในกลุ่มชนชั้นสูง เนื่องด้วยเป็นการทอที่ต้องใช้ความประณีต มีความสลับซับซ้อน และใช้เวลาทอนานมาก ถ้ามีลวดลายหรือต้องแต่งพิเศษมาก
ก็ต้องใช้ความละเอียดประณีตในการทอมากเช่นกัน บางครั้งผ้าที่มีความยาว 3 หลา ต้องใช้เวลาทอถึง 3 เดือน นอกจากนั้น ยังเป็นผ้าทอที่ใช้ในพระราชวัง
ทั้งชุดแต่งกายหรือเนื่องในโอกาสพิเศษเท่านั้น
6. ผ้าไหมลายน้ำไหล หรือเรียกชื่ออื่น
อาทิ ผ้าเกาะหรือผ้าล้วง เป็นผ้าทอที่ทอให้มีลวดลายโดยใช้เทคนิคการทอ ลายขัดแต่ใช้เส้นด้ายพุ่งหลายสี ทอ (เกาะ) เป็นช่วงๆ โดยการเกี่ยวและผูกเป็นห่วงรอบเส้นด้ายยืน เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับเนื้อผ้า อาจผสมผสานกับลวดลายอื่น เช่น ลายจก ลายขิด เป็นต้น